วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Dialogue in the Dark - ใช้ชีวิตคนตาบอด ตอนจบ แชร์ประสบการณ์

น้องจิ๊บ: พี่อาร์มตามองเห็นหรือเปล่าคะ
ไกด์อาร์ม: ไม่เห็นครับ ผมพิการทางสายตา แต่ไม่ได้ตั้งแต่เกิดนะ พี่ขวัญโน่น เกิดมาก็มองไม่เห็นเลย ส่วนผมประสบอุบัติเหตุเมื่อ 3 ปีที่แล้ว อุบัติเหตุทางรถยนต์ ยังเด็กอยู่ตอนนั้น
น้องพลอย: มันเกิดอะไรขึ้นคะ
ไกด์อาร์ม: ก็ขับรถซิ่งครับ เหมือนที่เรานั่งตุ๊กๆมานี่เลย ด้วยความคะนอง ตอนนั้นอายุ 20 ยังอ่อนๆอยู่เลย รถคว่ำตกไปข้างทาง ฟื้นมาอีกที ตาก็มองอะไรไม่เห็นแล้ว
น้องบี: แล้วมีทางหายมั้ยคะ
ไกด์อาร์ม: ดีที่สุดก็ได้เหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้หละครับ พยายามไม่ให้แย่ไปกว่านี้ หมอผ่าตัดให้บอกว่า ถ้าไม่ผ่าตัดตอนนั้น ตอนนี้ก็มองอะไรไม่เห็นเลย
คุณพ่อ: แสดงว่าตอนนี้พอจะมองเห็นบ้าง
ไกด์อาร์ม: มองเห็นลางๆ ลางมากเลยครับ แบบไม่เห็นเป็นของแต่เห็นเป็นเฉดสี เหมือนมองภาพศิลป์ ก็ดีครับ ผมมองชีวิตเป็นศิลปะไปเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ไกด์อาร์มหัวเราะ แต่เสียงหัวเราะก็ฟังออกว่าปนความเศร้าอยู่ ไกด์อาร์มเล่าอีกว่า ถ้าหากเขาสามารถแลกได้ เขายอมแลกที่จะเสียแขน หรือ ขา และขอดวงตากลับคืนมา แต่มันเป็นไปไม่ได้ เขาเห็นความสำคัญของดวงตาหลังจากได้สูญเสียมันไปแล้ว ฝากให้ทุกคนรักษามันให้ดี ถึงไม่เกิดอุบัติเหตุเหมือนไกด์อาร์ม แต่ก็ให้ทานอาหารบำรุงสายตา อย่าใช้สายตาจนเสียมันไป ไม่สามารถเอากลับมาได้

ไกด์อาร์มยังเล่าถึงชีวิตหลังอุบัติเหตุด้วยอีกว่า หลังจากพักรักษาตัว เขาก็มีโอกาสไปฝึกวิชาชีพกับมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์  และได้หัดใช้ชีวิตแบบผู้พิการทางสายตา เพื่อให้ช่วยเหลือตัวเองได้ เนื่องจากว่ามีความรู้ด้าน IT บ้าง ไกด์อาร์มก็เลยสามารถเล่นคอมพิวเตอร์ได้ โดยลงโปรแกรมที่ช่วยให้ผู้พิการทางสายตาสามารถเล่นอินเตอร์เน็ต

ไกด์อาร์ม: ถ้าใครว่าง ก็มาแช๊ต กันนะครับ
ทุกคนตอบรับ

ไกด์อาร์มเล่าต่อว่า หลังจากสามารถฝึกช่วยตัวเองได้แล้ว เขาก็มองหางานทำ และก็ได้ทำมาหลายอย่าง จนกระทั่ง ที่ อพวช ประกาศรับสมัคร ไกด์ผู้พิการทางสายตา ไกด์ที่นี่ของเราทั้งหมดข้างในเป็นผู้พิการทางสายตานะครับ เราได้รับการฝึกจากผู้เชี่ยวชาญที่บินมาจากเยอรมัน บางทีเราก็ต้องบินไปที่เยอรมันเพื่อฝึกเพิ่มเติม ก็เป็นประสบการณ์ล้ำค่าสำหรับพวกเราครับ ผมอยากฝากประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนรู้จัก Dialogue in the Dark ให้มากันเยอะๆ แล้วจะรู้ว่าคนพิการทางสายตาสามารถใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตนเองได้ ไม่เป็นภาระของสังคม จะเห็นว่าพี่ขวัญสามารถขายของ นับแบงค์ ทอนเงิน ได้โดยไม่ต้องใช้ตาเลย ชิมิ ชิมิ (แหม วัยรุ่นจริง ผมตามไม่ทันแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า)

น้องๆ หัวเราะศัพท์วัยรุ่นของไกด์อาร์ม

ไกด์อาร์ม: ที่สำคัญที่สุด ผมรักงานนี้ครับ ผมอยากให้มีงานนี้ตลอดไป เพราะเป็นงานที่ทำให้ผมรู้สึกมีคุณค่า ทุกคนต้องฟังผม คนตาดี ต้องเดินตามคนตาบอด จริงมั้ยครับ ไม่งั้นพวกคุณก็อาจจะติดอยู่ในนี้ออกไปไม่ได้ ทำให้รู้สึกว่าเราสามารถพึ่งพากันได้ ไม่ว่าจะพิการหรือไม่พิการ คุณพึ่งผม ผมพึ่งคุณ หากไม่มีพวกคุณ ผมก็ไม่มีงานนี้ทำ ผมทำสัญญาเป็นปีๆ ครับ อพวช จะพิจารณาหลังจากผ่านไป 1 ปี ว่าคนสนใจกันมั้ย ถ้าไม่สนใจก็อาจจะเลิกไป ผมก็คงตกงาน แหะ แหะ

เสียงไกด์อาร์ม ชวนให้เรารู้สึกว่าเขารักงานนี้มาก ทำให้เรารู้สึกว่า อยากจะเก็บงานนี้ให้อยู่กับเขาไปนานๆ ที่สำคัญ

งานนี้ไม่ใช่งานที่ไกด์อาร์มแบมือขอจากเรา

แต่เป็นงานที่ไกด์อาร์มได้ทุ่มเทพลังงานในตัวเขาออกมา เพื่อนำเราไปสู่โลกของพวกเขาอย่างแท้จริง

เป็นงานที่เขาทุ่มเทพลังงานออกมาทั้งหมด เพื่อให้พวกเราดำเนินชีวิตอย่างปลอดภัย ในโลกของพวกเขา ตลอดเวลา 1 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น

เป็นงานที่ทำให้พวกเรารู้สึกว่าคนพิการทางสายตาอย่างไกด์อาร์มมีคุณค่า ไม่ได้เป็นภาระของสังคมอีกต่อไป

เป็นงานที่ทำให้สังคมรับทราบถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้พิการทางสายตาอย่างแท้จริง

เป็นงานที่ทาง อพวช สมควรได้รับคำยกย่องที่ได้นำเอานิทรรศการเชิงปฎิบัติการ Dialogue in the Dark เข้ามาจัดในประเทศไทย

และที่สำคัญที่สุดที่ไกด์อาร์มยอมรับคือ เป็นงานที่เขาได้มีบทบาทเป็นผู้นำโดยที่เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าเป็นไปได้ด้วยหรือ

ไกด์อาร์ม: เสร็จจากนี้ ผมจะพาพวกเราออกจากห้องมืดนะครับ แสงจะค่อยๆมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าระคายตาก็อาจจะหลับตา แล้วค่อยๆลืมนะครับ ข้างนอกห้องนี้จะเป็นห้อง แบล็คไลท์ จะมีสมุดบันทึกให้เขียนคอมเม้นท์นะครับ ฝากให้ทุกคนช่วยกันเขียนถึงทีมงานทุกคนด้วยนะครับ ว่าชอบไม่ชอบอย่างไร เราจะเอามาอ่านกันทุกวันตอนเย็นหลังจากเคลียร์งานแล้วครับ

คุณพ่อ: ไกด์อาร์มอ่านยังไงครับ
ไกด์อาร์ม: มีคนอ่านให้ฟังครับ เราก็จะนั่งฟังทุกข้อความที่เขียนเพื่อเป็นกำลังใจ และเพื่อปรับปรุงการทำงานของพวกเราด้วย อย่างที่บอก ไม่เพียงแต่ท่านที่มาเที่ยวที่นี่จะต้องพึ่งพวกผม ผมก็พึ่งพวกเราทุกๆคนด้วยครับ เราก็พยายามทำงานของเราอย่างเต็มความสามารถ

เสร็จแล้วไกด์อาร์มก็พาเราเดินมาตามทาง เรารู้สึกว่าความสว่างเริ่มมีมากขึ้น แต่ก็ไม่ถึงกับสว่างมาก เพื่อให้พวกเราปรับสายตา หลังจากอยู่ในความมืดมาตลอดหนึ่งชั่วโมงเศษ เมื่อออกมาจากห้องมืด ก็มาถึงห้องเขียนบันทึกประสบการณ์ ที่ห้องนี้มีแสงไฟสลัวๆเพื่อให้พอมองเห็นลางๆ ไกด์อาร์มยืนอยู่ที่กรอบประตู

ไกด์อาร์ม: เอาหละครับ ผมพาทุกคนมาส่งเพียงเท่านี้ สุดท้ายหากผมพูดอะไรผิดพลาดไป ก็โปรดอภัยให้ผมด้วยนะครับ

ไกด์อาร์มพูดอย่างนอบน้อม ผมมองดูไกด์อาร์ม เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้เห็นตัวเป็นๆ ของไกด์อาร์ม คนที่พาเราเข้าไปสู่โลกคนพิการทางสายตา และกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย และสนุกด้วย ไกด์อาร์มมีรูปร่างสูงเพรียว ออกไปทางผอม ยืนพิงกรอบประตู บอกว่า หากเจอกันข้างนอกก็ทักทายกันนะครับ ไกด์อาร์มใช้ชีวิตทำงานอยู่ที่นี่ ท่องในโลกที่ไม่มีแสงสำหรับทุกคน ได้โดยไม่ต้องใช้ไม้เท้า เขารู้ทุกจุดของโลกแห่งนี้ รู้ปุ่มฉุกเฉินทุกปุ่ม เพื่อหากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเขาสามารถพาเราออกได้ทันที เขาท่องไปในโลกแห่งนี้อย่างคนตาดีที่ท่องไปในโลกภายนอก หากแต่ว่าโลกแห่งนี้เป็นโลกแห่งเดียวสำหรับเขาที่ทำให้เขารู้สึกถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์ของเขาอย่างสุดแท้

ผมมองไกด์อาร์มอยู่นาน ระหว่างน้องๆเขียนบันทึกประสบการณ์ มองด้วยความทึ่งในตัวเขาว่าเขาสามารถทำสิ่งมหัศจรรย์ที่ผมไม่เคยนึกถึงมาก่อน เขาได้สร้างจินตนาการในตัวผม ในตัวเราทุกคน เพราะจินตนาการไม่จำเป็นต้องพึ่งสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว จริงๆแล้วหากเราจินตนาการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรามักจะหลับตาเพื่อปิดสัญญาณรบกวนออกไปเสียด้วยซ้ำ ที่นี่คือที่ๆเหมาะสมสำหรับฝึกการสร้างจินตนาการครับ

ผมเขียนบันทึกเสร็จแล้ว น้องยุ้นมาขอเขียนบ้าง น้องเขียนข้างล่างข้อความของผม เขียนเป็นรูปหน้าการ์ตูนมีตา มีจมูก มีหู แล้วก็ปากยิ้ม ทุกคนหัวเราะเมื่อเห็นภาพที่น้องยุ้นวาด ผมรับรู้ได้ทันทีว่าน้องยุ้นรู้สึกสนุกมาก น้องยุ้นอายุ 7 ขวบครับ และไม่ได้รู้สึกตกใจกลัวเลยกับการอยู่ข้างในเป็นเวลา 1 ชั่วโมงเศษ หากใครมีลูกมีหลานเล็กๆ ไม่ถึงกับเล็กมากจนพูดไม่รู้เรื่องนะครับ ผมแนะนำว่าลองพามาดู แล้วจะได้รับความสนุก ความรู้ ประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่อื่นแล้วครับ

ไกด์อาร์มร่ำลาพวกเรา แล้วก็ขอตัวกลับเข้าไป เนื่องจากต้องไปรับนักท่องโลกมืดกลุ่มต่อไป พวกเราร่ำลาไกด์อาร์ม แล้วก็พูดคุยกันเองในกลุ่มอีกซักพัก ก็เดินออกมาข้างนอก เราเดินออกมาสู่โลกของเรา โลกที่เรายังสามารถใช้ดวงตาได้ แต่ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งเราอาจจะต้องอยู่ในโลกของไกด์อาร์มก็ได้ โลกนี้ไม่มีความเที่ยงแท้ใดๆเลย ไกด์ด้านนอกยืนรอรับเราอยู่ ไกด์ดลนำแว่นตากลับมาคืนให้ผม ผมรับมาใส่พร้อมขอบคุณ เสร็จแล้วเราก็ไปเอาของที่ฝากไว้ที่ตู้ล๊อกเกอร์ น้องๆพูดกันว่าจะไปชวนเพื่อนๆ และจะมากันอีก

ส่วนผมก็ขอจบ ซีรีย์ Dialogue in the Dark ไว้เพียงเท่านี้ และขอฝาก Dialogue in the Dark ที่ จามจุรีแสควร์ ชั้นสี่ ติดกับศูนย์หนังสือจุฬาไว้เพื่อพิจารณาด้วยนะครับ ช่วยไปกันเยอะๆ เพราะเป็นที่แห่งหนึ่งและแห่งเดียวที่ทำให้ผู้พิการทางสายตาเป็นผู้นำ เป็นผู้นำจริงๆครับ ไม่ใช่เพียงแค่รู้สึกเท่านั้น ประสบการณ์ที่ได้มาผมรับรองว่าล้ำค่าจริงๆครับ

ฝากไว้พิจารณาด้วยครับ และขอขอบคุณ อพวช อีกครั้งหนึ่งที่ได้จัดนิทรรศการดีๆเช่นนี้ให้กับคนไทย

หมายเหตุ เรื่องเล่านี้เป็นเรื่องที่อาศัยโครงเรื่องจากเรื่องจริง ชื่อและเรื่องราวเกี่ยวกับไกด์มีส่วนสัมพันธ์กันแต่ไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงทั้งหมดนะครับ มีการแต่งเติมเนื้อหาเข้าไป ผมไม่บอกว่าตรงไหน เพราะอาจจะทำให้หมดสนุกเวลาที่ไปพบกับประสบการณ์นี้เอง คิดว่าเหมือนอ่านหนังสือ แล้วไปดูหนังเองนะครับ ว่าจะเหมือนที่ผมเขียนมั้ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ขอบคุณที่ติดตามจนจบและไม่เบื่อไปซะก่อน
จตุพร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น