น้องจิ๊บ: พี่อาร์มตามองเห็นหรือเปล่าคะ
ไกด์อาร์ม: ไม่เห็นครับ ผมพิการทางสายตา แต่ไม่ได้ตั้งแต่เกิดนะ พี่ขวัญโน่น เกิดมาก็มองไม่เห็นเลย ส่วนผมประสบอุบัติเหตุเมื่อ 3 ปีที่แล้ว อุบัติเหตุทางรถยนต์ ยังเด็กอยู่ตอนนั้น
น้องพลอย: มันเกิดอะไรขึ้นคะ
ไกด์อาร์ม: ก็ขับรถซิ่งครับ เหมือนที่เรานั่งตุ๊กๆมานี่เลย ด้วยความคะนอง ตอนนั้นอายุ 20 ยังอ่อนๆอยู่เลย รถคว่ำตกไปข้างทาง ฟื้นมาอีกที ตาก็มองอะไรไม่เห็นแล้ว
น้องบี: แล้วมีทางหายมั้ยคะ
ไกด์อาร์ม: ดีที่สุดก็ได้เหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้หละครับ พยายามไม่ให้แย่ไปกว่านี้ หมอผ่าตัดให้บอกว่า ถ้าไม่ผ่าตัดตอนนั้น ตอนนี้ก็มองอะไรไม่เห็นเลย
คุณพ่อ: แสดงว่าตอนนี้พอจะมองเห็นบ้าง
ไกด์อาร์ม: มองเห็นลางๆ ลางมากเลยครับ แบบไม่เห็นเป็นของแต่เห็นเป็นเฉดสี เหมือนมองภาพศิลป์ ก็ดีครับ ผมมองชีวิตเป็นศิลปะไปเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ไกด์อาร์มหัวเราะ แต่เสียงหัวเราะก็ฟังออกว่าปนความเศร้าอยู่ ไกด์อาร์มเล่าอีกว่า ถ้าหากเขาสามารถแลกได้ เขายอมแลกที่จะเสียแขน หรือ ขา และขอดวงตากลับคืนมา แต่มันเป็นไปไม่ได้ เขาเห็นความสำคัญของดวงตาหลังจากได้สูญเสียมันไปแล้ว ฝากให้ทุกคนรักษามันให้ดี ถึงไม่เกิดอุบัติเหตุเหมือนไกด์อาร์ม แต่ก็ให้ทานอาหารบำรุงสายตา อย่าใช้สายตาจนเสียมันไป ไม่สามารถเอากลับมาได้
ไกด์อาร์มยังเล่าถึงชีวิตหลังอุบัติเหตุด้วยอีกว่า หลังจากพักรักษาตัว เขาก็มีโอกาสไปฝึกวิชาชีพกับมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และได้หัดใช้ชีวิตแบบผู้พิการทางสายตา เพื่อให้ช่วยเหลือตัวเองได้ เนื่องจากว่ามีความรู้ด้าน IT บ้าง ไกด์อาร์มก็เลยสามารถเล่นคอมพิวเตอร์ได้ โดยลงโปรแกรมที่ช่วยให้ผู้พิการทางสายตาสามารถเล่นอินเตอร์เน็ต
ไกด์อาร์ม: ถ้าใครว่าง ก็มาแช๊ต กันนะครับ
ทุกคนตอบรับ
ไกด์อาร์มเล่าต่อว่า หลังจากสามารถฝึกช่วยตัวเองได้แล้ว เขาก็มองหางานทำ และก็ได้ทำมาหลายอย่าง จนกระทั่ง ที่ อพวช ประกาศรับสมัคร ไกด์ผู้พิการทางสายตา ไกด์ที่นี่ของเราทั้งหมดข้างในเป็นผู้พิการทางสายตานะครับ เราได้รับการฝึกจากผู้เชี่ยวชาญที่บินมาจากเยอรมัน บางทีเราก็ต้องบินไปที่เยอรมันเพื่อฝึกเพิ่มเติม ก็เป็นประสบการณ์ล้ำค่าสำหรับพวกเราครับ ผมอยากฝากประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนรู้จัก Dialogue in the Dark ให้มากันเยอะๆ แล้วจะรู้ว่าคนพิการทางสายตาสามารถใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตนเองได้ ไม่เป็นภาระของสังคม จะเห็นว่าพี่ขวัญสามารถขายของ นับแบงค์ ทอนเงิน ได้โดยไม่ต้องใช้ตาเลย ชิมิ ชิมิ (แหม วัยรุ่นจริง ผมตามไม่ทันแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
น้องๆ หัวเราะศัพท์วัยรุ่นของไกด์อาร์ม
ไกด์อาร์ม: ที่สำคัญที่สุด ผมรักงานนี้ครับ ผมอยากให้มีงานนี้ตลอดไป เพราะเป็นงานที่ทำให้ผมรู้สึกมีคุณค่า ทุกคนต้องฟังผม คนตาดี ต้องเดินตามคนตาบอด จริงมั้ยครับ ไม่งั้นพวกคุณก็อาจจะติดอยู่ในนี้ออกไปไม่ได้ ทำให้รู้สึกว่าเราสามารถพึ่งพากันได้ ไม่ว่าจะพิการหรือไม่พิการ คุณพึ่งผม ผมพึ่งคุณ หากไม่มีพวกคุณ ผมก็ไม่มีงานนี้ทำ ผมทำสัญญาเป็นปีๆ ครับ อพวช จะพิจารณาหลังจากผ่านไป 1 ปี ว่าคนสนใจกันมั้ย ถ้าไม่สนใจก็อาจจะเลิกไป ผมก็คงตกงาน แหะ แหะ
เสียงไกด์อาร์ม ชวนให้เรารู้สึกว่าเขารักงานนี้มาก ทำให้เรารู้สึกว่า อยากจะเก็บงานนี้ให้อยู่กับเขาไปนานๆ ที่สำคัญ
งานนี้ไม่ใช่งานที่ไกด์อาร์มแบมือขอจากเรา
แต่เป็นงานที่ไกด์อาร์มได้ทุ่มเทพลังงานในตัวเขาออกมา เพื่อนำเราไปสู่โลกของพวกเขาอย่างแท้จริง
เป็นงานที่เขาทุ่มเทพลังงานออกมาทั้งหมด เพื่อให้พวกเราดำเนินชีวิตอย่างปลอดภัย ในโลกของพวกเขา ตลอดเวลา 1 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น
เป็นงานที่ทำให้พวกเรารู้สึกว่าคนพิการทางสายตาอย่างไกด์อาร์มมีคุณค่า ไม่ได้เป็นภาระของสังคมอีกต่อไป
เป็นงานที่ทำให้สังคมรับทราบถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้พิการทางสายตาอย่างแท้จริง
เป็นงานที่ทาง อพวช สมควรได้รับคำยกย่องที่ได้นำเอานิทรรศการเชิงปฎิบัติการ Dialogue in the Dark เข้ามาจัดในประเทศไทย
และที่สำคัญที่สุดที่ไกด์อาร์มยอมรับคือ เป็นงานที่เขาได้มีบทบาทเป็นผู้นำโดยที่เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าเป็นไปได้ด้วยหรือ
ไกด์อาร์ม: เสร็จจากนี้ ผมจะพาพวกเราออกจากห้องมืดนะครับ แสงจะค่อยๆมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าระคายตาก็อาจจะหลับตา แล้วค่อยๆลืมนะครับ ข้างนอกห้องนี้จะเป็นห้อง แบล็คไลท์ จะมีสมุดบันทึกให้เขียนคอมเม้นท์นะครับ ฝากให้ทุกคนช่วยกันเขียนถึงทีมงานทุกคนด้วยนะครับ ว่าชอบไม่ชอบอย่างไร เราจะเอามาอ่านกันทุกวันตอนเย็นหลังจากเคลียร์งานแล้วครับ
คุณพ่อ: ไกด์อาร์มอ่านยังไงครับ
ไกด์อาร์ม: มีคนอ่านให้ฟังครับ เราก็จะนั่งฟังทุกข้อความที่เขียนเพื่อเป็นกำลังใจ และเพื่อปรับปรุงการทำงานของพวกเราด้วย อย่างที่บอก ไม่เพียงแต่ท่านที่มาเที่ยวที่นี่จะต้องพึ่งพวกผม ผมก็พึ่งพวกเราทุกๆคนด้วยครับ เราก็พยายามทำงานของเราอย่างเต็มความสามารถ
เสร็จแล้วไกด์อาร์มก็พาเราเดินมาตามทาง เรารู้สึกว่าความสว่างเริ่มมีมากขึ้น แต่ก็ไม่ถึงกับสว่างมาก เพื่อให้พวกเราปรับสายตา หลังจากอยู่ในความมืดมาตลอดหนึ่งชั่วโมงเศษ เมื่อออกมาจากห้องมืด ก็มาถึงห้องเขียนบันทึกประสบการณ์ ที่ห้องนี้มีแสงไฟสลัวๆเพื่อให้พอมองเห็นลางๆ ไกด์อาร์มยืนอยู่ที่กรอบประตู
ไกด์อาร์ม: เอาหละครับ ผมพาทุกคนมาส่งเพียงเท่านี้ สุดท้ายหากผมพูดอะไรผิดพลาดไป ก็โปรดอภัยให้ผมด้วยนะครับ
ไกด์อาร์มพูดอย่างนอบน้อม ผมมองดูไกด์อาร์ม เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้เห็นตัวเป็นๆ ของไกด์อาร์ม คนที่พาเราเข้าไปสู่โลกคนพิการทางสายตา และกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย และสนุกด้วย ไกด์อาร์มมีรูปร่างสูงเพรียว ออกไปทางผอม ยืนพิงกรอบประตู บอกว่า หากเจอกันข้างนอกก็ทักทายกันนะครับ ไกด์อาร์มใช้ชีวิตทำงานอยู่ที่นี่ ท่องในโลกที่ไม่มีแสงสำหรับทุกคน ได้โดยไม่ต้องใช้ไม้เท้า เขารู้ทุกจุดของโลกแห่งนี้ รู้ปุ่มฉุกเฉินทุกปุ่ม เพื่อหากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเขาสามารถพาเราออกได้ทันที เขาท่องไปในโลกแห่งนี้อย่างคนตาดีที่ท่องไปในโลกภายนอก หากแต่ว่าโลกแห่งนี้เป็นโลกแห่งเดียวสำหรับเขาที่ทำให้เขารู้สึกถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์ของเขาอย่างสุดแท้
ผมมองไกด์อาร์มอยู่นาน ระหว่างน้องๆเขียนบันทึกประสบการณ์ มองด้วยความทึ่งในตัวเขาว่าเขาสามารถทำสิ่งมหัศจรรย์ที่ผมไม่เคยนึกถึงมาก่อน เขาได้สร้างจินตนาการในตัวผม ในตัวเราทุกคน เพราะจินตนาการไม่จำเป็นต้องพึ่งสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว จริงๆแล้วหากเราจินตนาการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรามักจะหลับตาเพื่อปิดสัญญาณรบกวนออกไปเสียด้วยซ้ำ ที่นี่คือที่ๆเหมาะสมสำหรับฝึกการสร้างจินตนาการครับ
ผมเขียนบันทึกเสร็จแล้ว น้องยุ้นมาขอเขียนบ้าง น้องเขียนข้างล่างข้อความของผม เขียนเป็นรูปหน้าการ์ตูนมีตา มีจมูก มีหู แล้วก็ปากยิ้ม ทุกคนหัวเราะเมื่อเห็นภาพที่น้องยุ้นวาด ผมรับรู้ได้ทันทีว่าน้องยุ้นรู้สึกสนุกมาก น้องยุ้นอายุ 7 ขวบครับ และไม่ได้รู้สึกตกใจกลัวเลยกับการอยู่ข้างในเป็นเวลา 1 ชั่วโมงเศษ หากใครมีลูกมีหลานเล็กๆ ไม่ถึงกับเล็กมากจนพูดไม่รู้เรื่องนะครับ ผมแนะนำว่าลองพามาดู แล้วจะได้รับความสนุก ความรู้ ประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่อื่นแล้วครับ
ไกด์อาร์มร่ำลาพวกเรา แล้วก็ขอตัวกลับเข้าไป เนื่องจากต้องไปรับนักท่องโลกมืดกลุ่มต่อไป พวกเราร่ำลาไกด์อาร์ม แล้วก็พูดคุยกันเองในกลุ่มอีกซักพัก ก็เดินออกมาข้างนอก เราเดินออกมาสู่โลกของเรา โลกที่เรายังสามารถใช้ดวงตาได้ แต่ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งเราอาจจะต้องอยู่ในโลกของไกด์อาร์มก็ได้ โลกนี้ไม่มีความเที่ยงแท้ใดๆเลย ไกด์ด้านนอกยืนรอรับเราอยู่ ไกด์ดลนำแว่นตากลับมาคืนให้ผม ผมรับมาใส่พร้อมขอบคุณ เสร็จแล้วเราก็ไปเอาของที่ฝากไว้ที่ตู้ล๊อกเกอร์ น้องๆพูดกันว่าจะไปชวนเพื่อนๆ และจะมากันอีก
ส่วนผมก็ขอจบ ซีรีย์ Dialogue in the Dark ไว้เพียงเท่านี้ และขอฝาก Dialogue in the Dark ที่ จามจุรีแสควร์ ชั้นสี่ ติดกับศูนย์หนังสือจุฬาไว้เพื่อพิจารณาด้วยนะครับ ช่วยไปกันเยอะๆ เพราะเป็นที่แห่งหนึ่งและแห่งเดียวที่ทำให้ผู้พิการทางสายตาเป็นผู้นำ เป็นผู้นำจริงๆครับ ไม่ใช่เพียงแค่รู้สึกเท่านั้น ประสบการณ์ที่ได้มาผมรับรองว่าล้ำค่าจริงๆครับ
ฝากไว้พิจารณาด้วยครับ และขอขอบคุณ อพวช อีกครั้งหนึ่งที่ได้จัดนิทรรศการดีๆเช่นนี้ให้กับคนไทย
หมายเหตุ เรื่องเล่านี้เป็นเรื่องที่อาศัยโครงเรื่องจากเรื่องจริง ชื่อและเรื่องราวเกี่ยวกับไกด์มีส่วนสัมพันธ์กันแต่ไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงทั้งหมดนะครับ มีการแต่งเติมเนื้อหาเข้าไป ผมไม่บอกว่าตรงไหน เพราะอาจจะทำให้หมดสนุกเวลาที่ไปพบกับประสบการณ์นี้เอง คิดว่าเหมือนอ่านหนังสือ แล้วไปดูหนังเองนะครับ ว่าจะเหมือนที่ผมเขียนมั้ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ขอบคุณที่ติดตามจนจบและไม่เบื่อไปซะก่อน
จตุพร
We learn when we play. We learn by doing. Theory is good to know but many theories are most of the time too difficult to understand. However, things around us can often amaze us why they happen as they are. We try to learn from things we experience in our days. We try to make things simpler if not simplest. เราเรียนจากการเล่น เราเรียนจากการทำ เรียนรู้ทฤษฎีเป็นสิ่งดีแต่ทฤษฎีก็ยากที่จะเข้าใจ สิ่งรอบๆตัวเราบางทีก็ทำให้เราประหลาดใจ เราเรียนจากประสพการณ์ เราเรียนที่จะทำให้งานง่ายขึ้นแม้ไม่ง่ายที่สุด
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น