วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

น้ำยกของได้ยังไง คั่นบทความ (intermission)

ผมอยากคั่นบทความโดยการตั้งคำถามก่อนการทดลองเรื่องน้ำ ให้ผู้ติดตามร่วมเล่นสนุกครับ คำถามมีอยู่ว่า สิ่งต่อไปนี้ อะไรหนักกว่ากัน หนักเท่ากัน หรือเบากว่า เรียงลำดับมาให้ผมก็ได้ครับ
1. น้ำเปล่า
2. นมจืด ยูเอชที
3. นมช๊อกโกแลต ยูเอชที
4. กาโต๊ะ หรือ พวกเจเล่วุ้น เทือกนี้นะ
5. น้ำเกลือ
6. น้ำส้ม
7. ทรายครึ่งกระป๋อง
8. ทราย 3/4 กระป๋อง (ทรายจริงๆครับ ไม่ใช่น้องทราย)

อุปกรณ์ทดลองเรื่องน้ำ

บรรดาของเหลวต่างๆใส่กระป๋องในปริมาณเท่าๆกัน
ทุกอย่างเทียบที่ปริมาณเท่ากัน ยกเว้นทรายตามที่ระบุ
อีกคำถามครับ เมื่อจุ่มของเหล่านี้ลงน้ำ น้ำหนักจะลดลง แน่นอน ทุกคนตอบได้ แต่ลดลงเท่าไหร่ครับ

ผสมเกลือกันเลยครับ

เราจะมาชั่งกันด้วย คนนี้น้องยุ้นครับ น้องทรายขี้อาย ไม่ค่อยชอบกล้อง 5555
ตอบผ่าน blog นี้ได้เลย หรือผ่านทาง FB ก็ได้ครับ เล่นๆกันสนุกๆครับ 5555 แล้ววันอาทิตย์นี้ผมจะได้ไปทำการทดลองกับน้องทรายและลูกๆผมครับ

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ไฟเบรคติด กับวิธีแก้ปัญหาชั่วคราว ง่ายๆ

วันนี้มีประชุมตอน 4.30 น. เรื่อง non-payroll researchers คือผู้บริหารอยากจะจ้างนักวิจัยโดยไม่ต้องใช้เงินเดือน จะเป็นไปได้หรือไม่ลองไปคิดดูนะครับ

ระหว่างนั่งประชุมอยู่ ประมาณซัก 6 โมง แฟนโทรเข้ามา ตอนแรกผมก็ตัดสายไป เพราะคิดว่าคงโทรมาถามว่าเสร็จหรือยัง ถ้าไม่รับ เขาก็คงรู้เองว่ายังไม่เสร็จ แต่ไม่ถึงนาที เขาก็โทรเข้ามาอีก ก็คิดว่าคงมีอะไร เลยรับสาย ปรากฎว่า เกิดปัญหาตามชื่อเรื่องครับ ไฟเบรคติดไม่ดับ ทำอย่างไร ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงรู้ก็คงไม่สามารถจะอธิบายให้เขาแก้ไข ณ เวลานั้นได้ ก็เลยบอกไปว่าปล่อยไว้ก่อน เดี๋ยวเสร็จแล้วจะกลับไปดู ด้วยหวังว่าแบตคงยังพออยู่ได้จนผมกลับไป ตอนแรกก็คิดว่าคงจะต้องถอดฟิวส์เพื่อตัดไฟ แล้วเอาไปเข้าอู่ในวันพรุ่งนี้ แต่..... ผมจะเสนอวิธีที่เพิ่งค้นพบแล้วใช้ได้ผลครับ ถึงแม้จะชั่วคราวก็ตามดีกว่าการถอดฟิวส์เป็นไหนๆ เนื่องจากการถอดฟิวส์จะทำให้ไฟเบรคใช้งานไม่ได้เลย และจะเกิดอันตรายมากกว่าไฟติดเสียอีก คงเดาได้ว่าทำไมนะครับ

สมาธิผมกระเจิงพอสมควร ใจนึงห่วงว่าแบตจะทนไหว เหมือน "สีทนได้" มั้ย ก็พอรวบรวมสมาธินั่งประชุมไปจนเสร็จ ตอน เกือบๆ 1 ทุ่ม แต่ก็เหมือนกับโชคช่วยพอสมควร น้องม่อนที่เข้าประชุมด้วยกันอาสามาส่งผมที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ทำให้ประหยัดเวลาได้เยอะ ระหว่างทางนั่งรถ ผมก็เล่าให้น้องเขาฟังถึงเรื่องไฟเบรค เขาก็ อ๋อ พี่ ไม่มีอะไรเลย ที่แป้นเบรคมันมีสวิทช์อันหนึ่ง ของผมเพิ่งเปลี่ยนไป เป็นเหมือนกัน มันหักอะพี่ ให้ช่างเขาเปลี่ยนไม่นาน ตัวละ 50 บาท ผมก็ใจชื้นขึ้น เออ ไม่หนักหนาอะ แต่ตอนนี้จะไปอู่ที่ไหนฟะ มันคงปิดไปหมดแล้ว

ลงเซ็นทรัล ขอบคุณน้องม่อน และร่ำรา เรียบร้อย เรียกรถแท๊กซี่ บึ่งเลยเพ่ รถดั๊นติดอีกตรงแยกรัชดา-ลาดพร้าว แต่ก็ไม่สาหัสเท่าไหร่ ถึงบ้าน เห็นรถจอดในบ้านพร้อม ไฟแดงแจ๋ ฮ้า แบตยังไม่หมด

ผมตรงเข้าไปหยิบคู่มือรถ เปิดหน้าฟิวส์หาตำแหน่งฟิวส์ก่อนเลย เมื่อเจอแล้วก็ดึงมันออกมา ที่กล่องฟิวส์จะมีปากคีบสำหรับดึงฟิวส์ครับ สำหรับท่านที่ไม่ทราบ ดึงมันเพื่อตัดไฟจากแบตก่อนแล้วค่อยคิดทำอะไรทีหลัง ไฟแดงก็ดับวูบ ฮ่า สำเร็จไปหนึ่งขั้น

แต่อย่างที่บอกครับ แล้วถ้าขับออกไปอย่างนี้ เหยียบเบรค ไฟก็ไม่ติดสินะ ก็เสี่ยงถูกชนท้ายได้ง่ายๆ ไม่ปลอดภัยแน่ๆ ก็นึกถึงคำที่น้องม่อนบอกว่าที่แป้นมันมีสวิทช์อยู่ เลยไปหยิบเอาไฟฉายมาส่องๆ ยูเร้ก้า เจอจริงๆ เดือยสวิทช์มันหักกองอยู่ที่พื้น ก้มส่องไปดู ก็จะเห็นที่แป้นมีรูใส่เดือยที่ว่านี้ เมื่อไม่ได้เหยียบเบรค เดือยที่ว่านี้จะดันกับสวิทช์เพื่อกดให้ไฟดับ แต่เมื่อเราเหยียบเบรคเมื่อไหร่ เดือยก็จะลอยตัวออกจากสวิทช์ ทำให้ไฟติด เมื่อรู้ดังนี้แล้ว วิธีแก้ง่ายๆ ก็คือ หากาวสองหน้า ครับ กาวสองหน้าซักสองแผ่นติดซ้อนกัน แล้วนำไปติดตรงแป้นเบรค ณ จุดติดตั้งเดือย ให้มีความหนาพอที่ขณะเราไม่ได้เหยียบเบรค ด้านที่ดันกับสวิทช์ไม่ต้องแกะกระดาษให้เจอกาวนะครับ เดี๋ยวเหนียวติดสวิทช์ เราแค่ใช้มันดันตัวสวิทช์เท่านั่น มันจะดันตัวสวิทช์ให้ไฟดับไป และเมื่อเหยียบเบรค กาวสองหน้าก็จะปล่อยออกจากสวิทช์ ทำหน้าที่เหมือนเดือยไม่มีผิด อาฮ้า เรียบร้อย อ้ออย่าลืมเสียบฟิวส์ที่ดึงออกไปด้วยถ้าดึงนะครับ แต่ถ้าไม่ได้ดึงออกก็ไม่เป็นไร ลองเหยียบเบรคดูมันจะติด ถ้าปล่อยเบรคก็จะดับ สลับกันไปมาหลายๆครั้งเพื่อทดสอบว่าแผ่นกาวสองหน้าแน่นพอ ไม่หลุดออกมา

แล้วเราก็มีรถใช้ชั่วคราว อย่างปลอดภัยด้วย ถ้าอยากมั่นใจว่ากาวสองหน้าติดแน่นกว่านี้อีก ก็เอาสก๊อตเทปพันทับอีกทีก็ได้ครับ จนกว่าเราจะเอาไปให้ช่างเขาเปลี่ยนเดือยให้ ก็คงพรุ่งนี้แหละครับ ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี เพราะของมันออกแบบให้เป็นอย่างนั้น สิ่งที่ผมเล่าเป็นเพียงทำให้ใช้รถได้ชั่วคราวและปลอดภัยครับหวังว่าจะเป็นประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับใคร

ว่าแล้วไปกินข้าวดีกว่า 555
ขอขอบคุณน้องม่อนสำหรับบทความนี้ด้วยครับ

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

น้ำยกของได้ยังไง ตอนที่ 1

ตลอดเดือนที่ผ่านมาไปที่ไหนก็ได้ยินแต่ข่าวน้ำท่วม ไม่ว่าจะทางภาคตะวันออกหรือภาคใต้ของไทย สาหัสสากัณฑ์เลยทีเดียว

เช้าอาทิตย์วันหนึ่งผมตื่นเช้ามาก็ออกมาพูดคุยกับเพื่อนบ้านตามประสาคนรู้จักกัน ก็คุยกันสัพเพเหระ รวมถึงเรื่องน้ำท่วมด้วย ลูกสาวของเพื่อนบ้านก็เข้ามาร่วมวงฟังด้วย ต้องบอกว่าฟังจริงๆครับ เพราะน้องไม่ค่อยจะพูดเท่าไหร่ แต่ชอบฟังมาก

น้องชื่อทรายครับ เป็นเด็กค่อนข้างขี้อาย ผิวเหลืองทองคล้ายทรายชื่อน้องครับ น่าจะเป็นเพราะอย่างนั้นหรือเปล่าไม่ทราบได้ พ่อแม่เลยตั้งชื่อให้ว่าน้องทราย อายุประมาณ 8 ขวบ รุ่นราวคราวเดียวกับลูกผมทั้งสองคน เป็นเด็กช่างสังเกตุ คงเพราะชอบฟังมั้งครับ ผมเคยคิด และจะชอบตั้งคำถาม คำถามบางอย่างก็น่าสนใจ บางอย่างก็ชวนให้ผมสงสัยตามน้องแกไปด้วย

ขณะที่คุยกันถึงเรื่องน้ำ น้องทรายก็สงสัยอีกแล้วครับ น้องถามขึ้นมาว่า 

"ลุงจ๋า" น้องทรายเรียกผมว่าลุง เพราะผมอายุเยอะกว่า พ่อแม่ของน้องทราย
"ทำไมน้ำทำให้รถลอยได้จ๊ะ รถมันหนักน่าดูนะลุง แต่ทรายเห็นในข่าว ทรายเห็นรถมันลอยไปตามน้ำเลย น่ากลัวจังเลยนะคะ ทำให้คนเดือดร้อนตั้งเยอะ"

ผมถึงกับอึ้ง คงเพราะเราไม่เคยสงสัยแบบที่น้องตั้งข้อสังเกตุนะครับ และไม่รู้จะตอบยังไงถึงจะทำให้น้องทรายเข้าใจง่ายๆ แต่ก็ฉวยโอกาสครับ ฉวยโอกาสที่จะพาน้องทรายกับลูกผมสองคนทำการทดลองอะไรเกี่ยวกับน้ำนะครับ ผมเลยบอกกับน้องทรายว่า ตอนนี้ลุงยังไม่รู้คำตอบนะ แต่เราจะมาหาคำตอบด้วยกันดีมั้ย เอาเป็นสัปดาห์หน้านะ น้องทรายมาหาลุงที่บ้านนะ แล้วลุงจะเตรียมอุุปกรณ์ทดลองวิทยาศาสตร์กัน เราจะมาช่วยกันคิด คิดหาว่าทำไมน้ำทำให้ของหนักๆลอยได้ ดีมั้ยจ๊ะ

น้องทรายรีบขออนุญาตคุณพ่อทันที คุณพ่อก็ยิ้มแล้วบอกว่า ได้สิ

ผมก็เลยต้องมาคิดเตรียมของสักหน่อย เราจะมาเล่นอะไรกันสนุกๆ 5555 แล้วสัปดาห์หน้ามาติดตามกันต่อนะครับ

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Dialogue in the Dark - ใช้ชีวิตคนตาบอด ตอนจบ แชร์ประสบการณ์

น้องจิ๊บ: พี่อาร์มตามองเห็นหรือเปล่าคะ
ไกด์อาร์ม: ไม่เห็นครับ ผมพิการทางสายตา แต่ไม่ได้ตั้งแต่เกิดนะ พี่ขวัญโน่น เกิดมาก็มองไม่เห็นเลย ส่วนผมประสบอุบัติเหตุเมื่อ 3 ปีที่แล้ว อุบัติเหตุทางรถยนต์ ยังเด็กอยู่ตอนนั้น
น้องพลอย: มันเกิดอะไรขึ้นคะ
ไกด์อาร์ม: ก็ขับรถซิ่งครับ เหมือนที่เรานั่งตุ๊กๆมานี่เลย ด้วยความคะนอง ตอนนั้นอายุ 20 ยังอ่อนๆอยู่เลย รถคว่ำตกไปข้างทาง ฟื้นมาอีกที ตาก็มองอะไรไม่เห็นแล้ว
น้องบี: แล้วมีทางหายมั้ยคะ
ไกด์อาร์ม: ดีที่สุดก็ได้เหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้หละครับ พยายามไม่ให้แย่ไปกว่านี้ หมอผ่าตัดให้บอกว่า ถ้าไม่ผ่าตัดตอนนั้น ตอนนี้ก็มองอะไรไม่เห็นเลย
คุณพ่อ: แสดงว่าตอนนี้พอจะมองเห็นบ้าง
ไกด์อาร์ม: มองเห็นลางๆ ลางมากเลยครับ แบบไม่เห็นเป็นของแต่เห็นเป็นเฉดสี เหมือนมองภาพศิลป์ ก็ดีครับ ผมมองชีวิตเป็นศิลปะไปเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ไกด์อาร์มหัวเราะ แต่เสียงหัวเราะก็ฟังออกว่าปนความเศร้าอยู่ ไกด์อาร์มเล่าอีกว่า ถ้าหากเขาสามารถแลกได้ เขายอมแลกที่จะเสียแขน หรือ ขา และขอดวงตากลับคืนมา แต่มันเป็นไปไม่ได้ เขาเห็นความสำคัญของดวงตาหลังจากได้สูญเสียมันไปแล้ว ฝากให้ทุกคนรักษามันให้ดี ถึงไม่เกิดอุบัติเหตุเหมือนไกด์อาร์ม แต่ก็ให้ทานอาหารบำรุงสายตา อย่าใช้สายตาจนเสียมันไป ไม่สามารถเอากลับมาได้

ไกด์อาร์มยังเล่าถึงชีวิตหลังอุบัติเหตุด้วยอีกว่า หลังจากพักรักษาตัว เขาก็มีโอกาสไปฝึกวิชาชีพกับมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์  และได้หัดใช้ชีวิตแบบผู้พิการทางสายตา เพื่อให้ช่วยเหลือตัวเองได้ เนื่องจากว่ามีความรู้ด้าน IT บ้าง ไกด์อาร์มก็เลยสามารถเล่นคอมพิวเตอร์ได้ โดยลงโปรแกรมที่ช่วยให้ผู้พิการทางสายตาสามารถเล่นอินเตอร์เน็ต

ไกด์อาร์ม: ถ้าใครว่าง ก็มาแช๊ต กันนะครับ
ทุกคนตอบรับ

ไกด์อาร์มเล่าต่อว่า หลังจากสามารถฝึกช่วยตัวเองได้แล้ว เขาก็มองหางานทำ และก็ได้ทำมาหลายอย่าง จนกระทั่ง ที่ อพวช ประกาศรับสมัคร ไกด์ผู้พิการทางสายตา ไกด์ที่นี่ของเราทั้งหมดข้างในเป็นผู้พิการทางสายตานะครับ เราได้รับการฝึกจากผู้เชี่ยวชาญที่บินมาจากเยอรมัน บางทีเราก็ต้องบินไปที่เยอรมันเพื่อฝึกเพิ่มเติม ก็เป็นประสบการณ์ล้ำค่าสำหรับพวกเราครับ ผมอยากฝากประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนรู้จัก Dialogue in the Dark ให้มากันเยอะๆ แล้วจะรู้ว่าคนพิการทางสายตาสามารถใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตนเองได้ ไม่เป็นภาระของสังคม จะเห็นว่าพี่ขวัญสามารถขายของ นับแบงค์ ทอนเงิน ได้โดยไม่ต้องใช้ตาเลย ชิมิ ชิมิ (แหม วัยรุ่นจริง ผมตามไม่ทันแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า)

น้องๆ หัวเราะศัพท์วัยรุ่นของไกด์อาร์ม

ไกด์อาร์ม: ที่สำคัญที่สุด ผมรักงานนี้ครับ ผมอยากให้มีงานนี้ตลอดไป เพราะเป็นงานที่ทำให้ผมรู้สึกมีคุณค่า ทุกคนต้องฟังผม คนตาดี ต้องเดินตามคนตาบอด จริงมั้ยครับ ไม่งั้นพวกคุณก็อาจจะติดอยู่ในนี้ออกไปไม่ได้ ทำให้รู้สึกว่าเราสามารถพึ่งพากันได้ ไม่ว่าจะพิการหรือไม่พิการ คุณพึ่งผม ผมพึ่งคุณ หากไม่มีพวกคุณ ผมก็ไม่มีงานนี้ทำ ผมทำสัญญาเป็นปีๆ ครับ อพวช จะพิจารณาหลังจากผ่านไป 1 ปี ว่าคนสนใจกันมั้ย ถ้าไม่สนใจก็อาจจะเลิกไป ผมก็คงตกงาน แหะ แหะ

เสียงไกด์อาร์ม ชวนให้เรารู้สึกว่าเขารักงานนี้มาก ทำให้เรารู้สึกว่า อยากจะเก็บงานนี้ให้อยู่กับเขาไปนานๆ ที่สำคัญ

งานนี้ไม่ใช่งานที่ไกด์อาร์มแบมือขอจากเรา

แต่เป็นงานที่ไกด์อาร์มได้ทุ่มเทพลังงานในตัวเขาออกมา เพื่อนำเราไปสู่โลกของพวกเขาอย่างแท้จริง

เป็นงานที่เขาทุ่มเทพลังงานออกมาทั้งหมด เพื่อให้พวกเราดำเนินชีวิตอย่างปลอดภัย ในโลกของพวกเขา ตลอดเวลา 1 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น

เป็นงานที่ทำให้พวกเรารู้สึกว่าคนพิการทางสายตาอย่างไกด์อาร์มมีคุณค่า ไม่ได้เป็นภาระของสังคมอีกต่อไป

เป็นงานที่ทำให้สังคมรับทราบถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้พิการทางสายตาอย่างแท้จริง

เป็นงานที่ทาง อพวช สมควรได้รับคำยกย่องที่ได้นำเอานิทรรศการเชิงปฎิบัติการ Dialogue in the Dark เข้ามาจัดในประเทศไทย

และที่สำคัญที่สุดที่ไกด์อาร์มยอมรับคือ เป็นงานที่เขาได้มีบทบาทเป็นผู้นำโดยที่เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าเป็นไปได้ด้วยหรือ

ไกด์อาร์ม: เสร็จจากนี้ ผมจะพาพวกเราออกจากห้องมืดนะครับ แสงจะค่อยๆมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าระคายตาก็อาจจะหลับตา แล้วค่อยๆลืมนะครับ ข้างนอกห้องนี้จะเป็นห้อง แบล็คไลท์ จะมีสมุดบันทึกให้เขียนคอมเม้นท์นะครับ ฝากให้ทุกคนช่วยกันเขียนถึงทีมงานทุกคนด้วยนะครับ ว่าชอบไม่ชอบอย่างไร เราจะเอามาอ่านกันทุกวันตอนเย็นหลังจากเคลียร์งานแล้วครับ

คุณพ่อ: ไกด์อาร์มอ่านยังไงครับ
ไกด์อาร์ม: มีคนอ่านให้ฟังครับ เราก็จะนั่งฟังทุกข้อความที่เขียนเพื่อเป็นกำลังใจ และเพื่อปรับปรุงการทำงานของพวกเราด้วย อย่างที่บอก ไม่เพียงแต่ท่านที่มาเที่ยวที่นี่จะต้องพึ่งพวกผม ผมก็พึ่งพวกเราทุกๆคนด้วยครับ เราก็พยายามทำงานของเราอย่างเต็มความสามารถ

เสร็จแล้วไกด์อาร์มก็พาเราเดินมาตามทาง เรารู้สึกว่าความสว่างเริ่มมีมากขึ้น แต่ก็ไม่ถึงกับสว่างมาก เพื่อให้พวกเราปรับสายตา หลังจากอยู่ในความมืดมาตลอดหนึ่งชั่วโมงเศษ เมื่อออกมาจากห้องมืด ก็มาถึงห้องเขียนบันทึกประสบการณ์ ที่ห้องนี้มีแสงไฟสลัวๆเพื่อให้พอมองเห็นลางๆ ไกด์อาร์มยืนอยู่ที่กรอบประตู

ไกด์อาร์ม: เอาหละครับ ผมพาทุกคนมาส่งเพียงเท่านี้ สุดท้ายหากผมพูดอะไรผิดพลาดไป ก็โปรดอภัยให้ผมด้วยนะครับ

ไกด์อาร์มพูดอย่างนอบน้อม ผมมองดูไกด์อาร์ม เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้เห็นตัวเป็นๆ ของไกด์อาร์ม คนที่พาเราเข้าไปสู่โลกคนพิการทางสายตา และกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย และสนุกด้วย ไกด์อาร์มมีรูปร่างสูงเพรียว ออกไปทางผอม ยืนพิงกรอบประตู บอกว่า หากเจอกันข้างนอกก็ทักทายกันนะครับ ไกด์อาร์มใช้ชีวิตทำงานอยู่ที่นี่ ท่องในโลกที่ไม่มีแสงสำหรับทุกคน ได้โดยไม่ต้องใช้ไม้เท้า เขารู้ทุกจุดของโลกแห่งนี้ รู้ปุ่มฉุกเฉินทุกปุ่ม เพื่อหากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเขาสามารถพาเราออกได้ทันที เขาท่องไปในโลกแห่งนี้อย่างคนตาดีที่ท่องไปในโลกภายนอก หากแต่ว่าโลกแห่งนี้เป็นโลกแห่งเดียวสำหรับเขาที่ทำให้เขารู้สึกถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์ของเขาอย่างสุดแท้

ผมมองไกด์อาร์มอยู่นาน ระหว่างน้องๆเขียนบันทึกประสบการณ์ มองด้วยความทึ่งในตัวเขาว่าเขาสามารถทำสิ่งมหัศจรรย์ที่ผมไม่เคยนึกถึงมาก่อน เขาได้สร้างจินตนาการในตัวผม ในตัวเราทุกคน เพราะจินตนาการไม่จำเป็นต้องพึ่งสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว จริงๆแล้วหากเราจินตนาการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรามักจะหลับตาเพื่อปิดสัญญาณรบกวนออกไปเสียด้วยซ้ำ ที่นี่คือที่ๆเหมาะสมสำหรับฝึกการสร้างจินตนาการครับ

ผมเขียนบันทึกเสร็จแล้ว น้องยุ้นมาขอเขียนบ้าง น้องเขียนข้างล่างข้อความของผม เขียนเป็นรูปหน้าการ์ตูนมีตา มีจมูก มีหู แล้วก็ปากยิ้ม ทุกคนหัวเราะเมื่อเห็นภาพที่น้องยุ้นวาด ผมรับรู้ได้ทันทีว่าน้องยุ้นรู้สึกสนุกมาก น้องยุ้นอายุ 7 ขวบครับ และไม่ได้รู้สึกตกใจกลัวเลยกับการอยู่ข้างในเป็นเวลา 1 ชั่วโมงเศษ หากใครมีลูกมีหลานเล็กๆ ไม่ถึงกับเล็กมากจนพูดไม่รู้เรื่องนะครับ ผมแนะนำว่าลองพามาดู แล้วจะได้รับความสนุก ความรู้ ประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่อื่นแล้วครับ

ไกด์อาร์มร่ำลาพวกเรา แล้วก็ขอตัวกลับเข้าไป เนื่องจากต้องไปรับนักท่องโลกมืดกลุ่มต่อไป พวกเราร่ำลาไกด์อาร์ม แล้วก็พูดคุยกันเองในกลุ่มอีกซักพัก ก็เดินออกมาข้างนอก เราเดินออกมาสู่โลกของเรา โลกที่เรายังสามารถใช้ดวงตาได้ แต่ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งเราอาจจะต้องอยู่ในโลกของไกด์อาร์มก็ได้ โลกนี้ไม่มีความเที่ยงแท้ใดๆเลย ไกด์ด้านนอกยืนรอรับเราอยู่ ไกด์ดลนำแว่นตากลับมาคืนให้ผม ผมรับมาใส่พร้อมขอบคุณ เสร็จแล้วเราก็ไปเอาของที่ฝากไว้ที่ตู้ล๊อกเกอร์ น้องๆพูดกันว่าจะไปชวนเพื่อนๆ และจะมากันอีก

ส่วนผมก็ขอจบ ซีรีย์ Dialogue in the Dark ไว้เพียงเท่านี้ และขอฝาก Dialogue in the Dark ที่ จามจุรีแสควร์ ชั้นสี่ ติดกับศูนย์หนังสือจุฬาไว้เพื่อพิจารณาด้วยนะครับ ช่วยไปกันเยอะๆ เพราะเป็นที่แห่งหนึ่งและแห่งเดียวที่ทำให้ผู้พิการทางสายตาเป็นผู้นำ เป็นผู้นำจริงๆครับ ไม่ใช่เพียงแค่รู้สึกเท่านั้น ประสบการณ์ที่ได้มาผมรับรองว่าล้ำค่าจริงๆครับ

ฝากไว้พิจารณาด้วยครับ และขอขอบคุณ อพวช อีกครั้งหนึ่งที่ได้จัดนิทรรศการดีๆเช่นนี้ให้กับคนไทย

หมายเหตุ เรื่องเล่านี้เป็นเรื่องที่อาศัยโครงเรื่องจากเรื่องจริง ชื่อและเรื่องราวเกี่ยวกับไกด์มีส่วนสัมพันธ์กันแต่ไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงทั้งหมดนะครับ มีการแต่งเติมเนื้อหาเข้าไป ผมไม่บอกว่าตรงไหน เพราะอาจจะทำให้หมดสนุกเวลาที่ไปพบกับประสบการณ์นี้เอง คิดว่าเหมือนอ่านหนังสือ แล้วไปดูหนังเองนะครับ ว่าจะเหมือนที่ผมเขียนมั้ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ขอบคุณที่ติดตามจนจบและไม่เบื่อไปซะก่อน
จตุพร

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Dialogue in the Dark - ใช้ชีวิตคนตาบอด ตอนที่ 4

เมื่อทุกคนขึ้นนั่งรถตุ๊กกันเรียบร้อยแล้ว
ไกด์อาร์ม: เดี๋ยวเราจะนั่งรถไปพารากอนเพื่อไปหาอะไรทานกันนะครับ ระหว่างรถวิ่งห้ามเอามือ ขา ศีรษะยื่นออกไปนอกตัวรถนะครับ ไม่งั้นเราคงจะไม่พิการทางสายตาอย่างเดียว
น้องยุ้น: ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ทุกคนหัวเราะตามน้องยุ้น น่าจะหัวเราะเสียงน้องยุ้นมากกว่า เพราะน้องหัวเราะแบบที่ตัวหนังสือเขียนจริงๆครับ ลองอ่านดูโดยไม่ต้องแปลงเสียงเลยครับ

หลังจากเตือนเราเรียบร้อย ไกด์อาร์มก็ตะโกน: โชวเฟอร์ ออกรถเลย
รถก็สตาร์ท แล้วก็เริ่มรู้สึกว่ามันสั่น รถออกตัวไปอย่างรวดเร็ว เรารู้สึกถึงลมเย็นพัดใส่หน้าของเรา ไกด์อาร์มก็บรรยายขณะที่รถวิ่งไปเรื่อยๆ

ไกด์อาร์ม: ซิ่งเลยโชว์เฟอร์ เรากำลังแซงรถเมล์ หักขวา ตบเข้าซ้าย เอี๊ยด ไอ้รถเมล์ขับภาษาไรเนี่ย เดี๋ยวตายกันหมดพอดี ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องตกใจ โชว์เฟอร์เราประสบการณ์ ไม่แพ้ชาติใดในโลก เพิ่งได้ใบขับขี่มาสดๆร้อนๆเมื่อวานครับ
น้องยุ้น: ฮ่า ฮ่า ฮ่า
หากเห็นหน้าทุกคนยกเว้นน้องยุ้นตอนนี้ คงจะหน้าซีดเผือก ทุกคนเงียบกริบ ไม่พูดไม่จา มือกุมราวจับของรถตุ๊กๆแน่น
ไกด์อาร์ม: ต่อเลยพี่โชว์เฟอร์ เดี๋ยวเราจะไปไม่ทัน มีเวลาพักทานของว่างน้อยไป โอ๋ย พี่ๆ ไฟเหลืองแล้ว จะทันมั้ยเนี่ย
แล้วรถก็เหมือนกับเอียงซ้าย เอียงขวาตลอด ทำให้รู้สึกว่าวิ่งไม่บันยะบันยัง รถเร่งเครื่องเพื่อจะให้พ้นไฟแดง

สักพักหนึ่ง เรารู้สึกว่ามีละอองน้ำปลิวมากระทบใบหน้า และลำตัว ฝนตก ผมกอดน้องยุ้นไว้เพื่อไม่ให้น้องโดนละอองน้ำฝน รถวิ่งต่อไปยังไม่หยุด พร้อมกับคำบรรยายเสี่ยงตายของไกด์อาร์ม ช่างเป็นการนั่งรถที่เสี่ยงตายที่สุดเท่าที่เคยนั่งมา ถ้าไม่นับรถเมล์สาย 8 นะครับ ถ้าใครเคยนั่งคงจะรู้ความหมายของผม หลังจากหวาดเสียวกับการนั่งรถสักพัก รถก็จอดลง เสียงถอนหายใจเฮือกก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงตะโกนของไกด์อาร์ม

ไกด์อาร์ม: ขอบคุณมากพี่โชว์เฟอร์ โอเคครับ เรามาถึงแล้วครับ เดี๋ยวทุกคนค่อยๆลงจากรถทางด้านซ้ายนะครับ พอลงแล้วก็ชิดขวาครับ หันหน้ามาทางเสียงผม แล้วเดินมาหาเสียงผมนะครับ หวังว่าทุกคนคงสนุกกับการนั่งรถเที่ยวของเรานะครับ
น้องยุ้น: ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ทุกคนก็หัวเราะตาม คงหัวเราะเสียงหัวเราะน้องยุ้น ไม่ได้ขำไกด์อาร์มหรอกนะครับ
อย่างน้อยก็มีหนึ่งคนที่สนุกกับการผจญภัยครั้งนี้
ผู้อ่านอย่าเพิ่งตกใจครับ ไม่น่ากลัวอย่างที่ผมเล่าหรอก ผมก็แค่ตีไข่ใส่สีให้มันพอมีสีสันเท่านั้นเอง จริงๆแล้วสนุกมากครับ อยากให้ไปลอง เหมือนเที่ยวสวนสนุกของคนพิการทางสายตายังไงยังงั้นเลย
ฮ่า ฮ่า ฮ่า (ขอยืมเสียงหัวเราะน้องยุ้นเขามาหน่อย)

จากนั้นไกด์อาร์มก็พาเราเดินเลาะไปตามทาง เราเริ่มคุ้นเคยกับการเดินเลียบกำแพงซะแล้ว ไม่ค่อยจะเดินชนกันไปชนกันมาซักเท่าไหร่

ไกด์อาร์ม: โอ๊ย ใครเนี่ย ผมบอกให้ชิดซ้ายไว้ไงครับ ทำไมเดินทางขวาหละ อย่างนี้ก็แย่สิ
ไกด์อาร์มดุน้องคนหนึ่ง ที่เดินแตกแถวออกมาทางขวา
ไกด์อาร์ม: ไม่สังเกตเหรอครับ ว่าทำไมผมให้ชิดซ้ายหรือชิดขวา เพราะผมจะได้รู้ว่าทุกคนอยู่ทางไหน แล้วผมก็จะเดินไปอีกฝั่งหนึ่งได้ตลอด โดยไม่ชนใครเข้า ทีนี้เข้าใจแล้วนะครับ คนพิการทางสายตาต้องรู้ว่าอะไรอยู่ที่ไหน แต่รู้ได้โดยการจัดระเบียบครับ ไม่ได้รู้โดยการใช้สายตา

แล้วทุกคนก็ถึงบางอ้อ หลังจากถูกไกด์อาร์มดุเล็กน้อย ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผมหัวเราะเองในใจ
ไกด์อาร์มพาพวกเราเดินเข้าห้องๆหนึ่ง แล้วพาไปหยุดลงที่หน้าเคาเตอร์ เหมือนกับเป็นเคาเตอร์บาร์ ผมจินตนาการว่าอย่างนั้น
ไกด์อาร์ม: เอาหละครับ เราจะมาหาอะไรทานกันนะครับ ผมจะแนะนำให้รู้จักกับ พี่ขวัญเจ้าของร้านนะครับ
พี่ขวัญ: สวัสดีครับ
ทุกคน: สวัสดีค่ะ สวัสดีครับ
พี่ขวัญ: ผมมีขนมกับน้ำขายครับ ก็มี ป๊อกกี่ โอลีโอ ซูกัส ฟิชโช่ น้ำส้ม น้ำโค๊ก สไปร์ท
พี่ขวัญร่ายยาวถึงรายการขนมกับเครื่องดืมพร้อมระบุราคา พวกเราก็ล้วงกระเป๋าเอาเงินออกมา พี่ขวัญรับออร์เดอร์ทีละคน ทีละคน พร้อมหยิบของให้และรับเงิน แจ้งให้เราทราบว่ารับธนบัตรอะไรไป ทอนเงินให้เรา ทุกอย่างที่ทำไป พี่ขวัญทำได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ได้มีความรู้สึกว่าพี่ขวัญมองไม่เห็นเลย แต่ถึงแม้พี่ขวัญจะตาดี แกก็ไม่น่าจะมองเห็นเพราะพวกเราก็ตาดีๆก็ยังมองอะไรไม่เห็นนี่ พี่ขวัญทำได้อย่างไรกัน

ขอยืมภาพจาก http://precious-living.com/spot-the-celebrity/

เมื่อได้รับของทานแล้ว ไกด์อาร์มก็พาพวกเราเดินมานั่งที่โซฟา และทุกคนก็แกะขนมออกทานกัน แบ่งกันทาน และคุยกันไป
ไกด์อาร์ม: โอเคครับ ห้องนี้จะเป็นห้องสุดท้ายของ Dialogue in the Dark นะครับ เราจะนั่งคุยกันซักพัก เพื่อแชร์ประสบการณ์ของแต่ละคนว่ารู้สึกกันอย่างไร และถ้าใครอยากจะถามคำถามอะไรผมก็สามารถถามได้ครับ ทุกคำถาม ผมจะตอบทุกอย่างครับ

น้องจิ๊บ: พี่อาร์มตามองเห็นหรือเปล่าคะ
ไกด์อาร์ม: โปรดติดตามตอนต่อไป ตอนสุดท้ายแล้วครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า คงไม่เบื่อก่อนนะครับ

*********************************************************************************

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Dialogue in the Dark - ใช้ชีวิตคนตาบอด ตอนที่ 3

ผมกวาดมือซ้ายไปมา ในที่สุดก็เจอสิ่งที่ผมจะยึดจับได้ มันเป็นเชือกขนาดประมาณเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว เชือกถักจากปอ ผมจับมือน้องยุ้นให้ไปจับที่เชือก พื้นข้างล่างโคลงได้เล็กน้อย ให้ความรู้สึกหวาดเสียวเล็กน้อย สัมผัสด้วยเท้ารู้สึกว่าเป็นแผ่นๆ ได้ยินเสียงน้ำไหลจากที่สูงลงต่ำอยู่ด้านขวา เท่านี้ก็พอเดาได้ว่ามันคือ สะพานไม้ ผมตะโกนบอกว่าผมเจอสะพานให้ทุกคนข้างหลังที่ตามมารู้ บอกให้รู้ว่ามีสเต็ป ทุกคนก็เดินตามมายืนอยู่บนสะพานแล้ว

ไกด์อาร์ม: ได้ยินเสียงน้ำใช่มั้ยครับทุกคน
ทุกคน: ได้ยินค่ะ ได้ยินครับ
ไกด์อาร์ม: คิดว่าน้ำจริงมั้ยครับ
บางคนตอบจริง บางคนตอบไม่จริง
ไกด์อาร์มให้ลองพิสูจน์ว่าสัมผัสของหูเราเชื่อถือได้แค่ไหน โดยการย่อตัวลงไปสัมผัสดูที่ต้นเสียง ว่าเจอน้ำจริงมั้ย แล้วมันก็เป็นน้ำจริงๆ มีต้นไม้ปกคลุม เหมือนกับเป็นบ่อน้ำตกแต่งสวนมีน้ำตกขนาดย่อมๆ สวนนี้ช่างดูสดใสน่าชวนมองจริงๆในความมืดมิด ผมมองเห็นภาพในความคิดของผม จินตนาการไปเรื่อยว่าสวนที่ผมยืนอยู่เป็นอย่างไร นี่เป็นสิ่งที่ดีอย่างหนึ่งของการที่เรามองไม่เห็น เราจะคิดจินตนาการความสวยงามไปเรื่อย ไม่มีขีดจำกัดจากสายตาที่เรามีอยู่ในยามปกติ

ไกด์อาร์ม: เดินต่อมาครับ ข้ามสะพานแล้วชิดขวานะครับ
เราเดินตามคำสั่ง พร้อมกับชิดขวา เจอกับกำแพงให้เราเลียบเดินไปอย่างคุ้นเคยมากขึ้น หลังจากได้ปรับตัวซักพัก แล้วเราก็เจอกับม้านั่ง สัมผัสได้รู้สึกว่าเป็นม้านั่งในสวนทำด้วยโลหะ เพราะมีความเย็น เป็นซี่ๆ อยู่สองตัว ข้างม้านั่ง มีหุ่นผู้หญิงไทยยกมือสวัสดี ที่เรามักเห็นอยู่หน้าร้านขายต้นไม้ตามสวนจตุจักร เราสัมผัสหุ่นนี้อยู่นานเหมือนกับไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นอะไร ถัดจากหุ่นก็เป็นตู้ไปรษณีย์
คลำวัตถุเหล่านี้ไปมา ผมก็รู้สึกว่ามีมือมาคลำที่หัวผม

น้องพลอย: อุ้ยตาย หัวคุณพ่อ ขอโทษค่ะ
คุณพ่อ: ยิ้มในใจ ไม่เป็นไรครับ

เดินต่อไป เราก็ต้องตกใจกับเสียงหมาเห่าเสียงดังขรม ฟังแล้วไม่น่าต่ำกว่า 5 ตัว ทุกคนสะดุ้งเฮือก เพราะไม่ได้ตั้งตัว ผมกวาดมือไปทางซ้ายด้านเสียงหมาเห่า ที่กล้ากวาดมือไปก็คิดว่าคงไม่มีหมาจริงๆ เขาคงไม่ปล่อยหมามากัดนักท่องโลกมืดมั้งครับ ใจก็หวั่นๆ เมื่อกวาดไปก็พบกับประตูรั้วโรงรถ ก็เดาว่ากำลังเดินผ่านบ้านใครซักคนหนึ่งที่เลี้ยงหมาได้หลายตัว เราเจอกับมอเตอร์ไซค์จอดอยู่คันหนึ่ง ก้าวขึ้นสเต๊ป ไกด์ให้เราสังเกตว่าเท้าเราเหยียบอะไรอยู่บ้างตลอดทาง ในจุดนี้พื้นจะมีปุ่มๆ ซึ่งก็คือพื้นที่ออกแบบให้ผู้พิการทางสายตาสามารถเดินตามได้ หากเราสังเกตจะเห็นพื้นเหล่านี้อยู่ตามฟุตปาธ (มีน้องที่อ่านทักมาว่าคำนี้ต้องเขียนอย่างนี้ ไม่ใช่ ฟุตบาท อย่างที่ผมเขียน ขออภัยและขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย) ทั่วไป

เราข้ามถนนมาอีกฝั่ง ก้าวขึ้นฟุตปาธ เราเจอกับราวแขวนเสื้อผ้าเต็มไปหมด ผมไม่รู้มันคืออะไรจนกระทั่งน้องนักเรียนตะโกนขึ้นมาว่า ร้านขายเสื้อผ้า ถัดจากร้านเสื้อผ้าก็เป็นร้านขายของโชว์ห่วย มีสบู่ ครีม แชมพู สารพัด ให้ลองได้สัมผัส ได้ดม ถัดจากนั้นก็เป็นร้านขายผลไม้ มีผลไม้สารพัดอย่าง น้องยุ้นหยิบเอาสับปะรดรดขึ้นมา พร้อมกับสามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร

ตอนนี้ทุกคนรวมทั้งน้องยุ้นเริ่มรู้สึกคุ้นเคย ไม่มีความกังวลเท่าใดนัก ไกด์พูดนำไปตลอดทาง น้องยุ้นก็หัวเราะแทบทุกคำที่ไกด์พูด น้องๆนักเรียนก็เริ่มที่จะคุ้นเคยกับพวกเราสองคนมากขึ้น

ไกด์อาร์ม: คุณพ่อได้ลูกสาวเพียบเลยนะครับ
น้องยุ้น: ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ผมก็อมยิ้ม

ไกด์อาร์ม: ผมจาพาทุกคนนั่งรถไปพารากอนนะครับ เดี๋ยวหยุดตรงนี้ แล้วผมจะทยอยพาทีละคนขึ้นรถนะครับ เริ่มจากคุณพ่อกับน้องยุ่น ขอมือซ้ายครับคุณพ่อ

ผมยื่นแขนซ้ายไปข้างหน้า ไกด์อาร์มยื่นมือมาจับมือผม พร้อมกับเอามือผมไปจับที่หลังคารถ ความรู้สึกบอกได้ว่าเป็นหลังคาผ้าใบ

ไกด์อาร์ม: ตรงนี้เป็นหลังคารถนะครับ ตอนนี้ขอมือขวาครับ
ผมยื่นมือขวาออกไปอย่างว่าง่าย พร้อมกับกุมมือขวาน้องยุ้นไปด้วย
ไกด์อาร์ม: ตรงนี้เป็นราวจับนะครับ
ไกด์อาร์มเอามือเราสองคนลูบราวซักพักนึง ให้คุ้นเคย ให้สามารถนึกภาพออกว่ารถที่เราจะนั่งก็คือ รถตุ๊กๆ
ไกด์อาร์ม ข้างหน้าคุณพ่อกับน้องยุ่นเป็นที่ขึ้นรถนะครับ ให้ค่อยๆก้าวขึ้นไป จะเจอกับที่นั่งครับ เชิญเลยครับ
เราก็ค่อยๆก้าวตามคำบอกของไกด์ น้องยุ้นก้าวขึ้นไปก่อน ผมก็ก้าวและคอยประคองน้องยุ้นไปด้วย เรานั่งลงไปด้วยความปลอดภัย

ไกด์อาร์ม: โอเคครับ ทีนี้น้องพลอย น้องจิ๊บครับ
ไกด์อาร์ม ได้พาน้องๆทุกคนขึ้นรถอย่างปลอดภัย ทุกคนรู้สึกตื่นเต้น คลำรถ คลำไปทั่ว เอ รถจะวิ่งจริงเปล่าเนี่ย หรือว่าแค่ขึ้นมานั่งแล้วก็ลง เท่านั่นเอง
********************************************************************************
(โปรดติดตามตอนต่อไป...)

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Dialogue in the Dark - ใช้ชีวิตคนตาบอด ตอนที่ 2

ไกด์ดล: ก่อนเข้านะครับ น้องที่อยู่ท้ายแถวชื่ออะไรครับ

น้องท้ายแถว: วิช คะ

ไกด์ดล: โอเค น้องวิชอยู่ท้ายแถวนะครับ ทุกคนทราบไว้ตามนี้ หากเข้าไปข้างในแล้ว ก็ต้องรอให้ครบ น้องวิชต้องตะโกนบอกพี่ไกด์ด้านในด้วยนะครับ เวลาเค้าขานเรียกชื่อ

น้องวิช: ค่ะ

ไกด์ดล: โอเค ตอนนี้ตามผมมาได้เลยครับ เดินชิดขวาเรียงแถวตอนหนึ่งนะครับ มือถือไม้เท้าไม่ต้องเอาเชือกคล้องแขนนะครับ จะได้สลับไปมาได้สะดวก ถ้าต้องการ มือขวาตอนนี้ก็คลำผนังด้านขวาไว้นะครับ ตอนนี้เราจะเริ่มมืดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมองไม่เห็นอะไรเลย

ผมเดินจูงให้ยุ้นเดินด้านหน้าผม เอามือจับไม้เท้าด้วยกัน กวาดไปแล้วก็คอยบอกว่าเวลาเจอของขวางหน้า ส่วนมือขวาก็คลำตามผนังตามที่ไกด์ดลบอก ส่วนน้องนักเรียนก็เดินเรียงแถวตามเราเข้ามา น้องข้างหลังเอามือมาจับหลังผมไว้ด้วย เดินตามเข้ามา ทุกคนเหมือนพยายามจับกลุ่มกันไม่ให้หายไปไหน ทุกอย่างใช้สัมผัสด้วยหู เพราะเราเดินตามเสียงของไกด์ดลเข้าไป ส่วนสัมผัสมือก็ได้ใช้แล้วในตอนนี้ เราเดินเลียบกำแพงด้านขวาเข้าไปเรื่อยๆ จนกำแพงหมดไป ก็เดินวนยูเทิร์นเลี้ยว 360 องศา จากนั้นก็เดินต่อไปตามเสียงไกด์ดล จนกระทั่งกำแพงหักพาให้เลี้ยวซ้าย 90 องศา

น้องๆ: เฮ้ยรอด้วยๆ
ไกด์ดล: น้องวิชเข้ามายังครับ อยู่ไหนขานด้วยครับ
น้องวิช: วิชอยู่นี่
ไกด์ดล: โอเค ตอนนี้หยุดตรงนี้ก่อนครับ ข้างหน้าจะเป็นห้องๆหนึ่งเราจะพากันเข้าไปในห้องนี้นะครับ ค่อยๆเดินมาหาเสียงผมนะครับ

ผมพายุ้นเดินนำกลุ่มเข้าไปในห้องตามเสียงของไกด์ เลียบกำแพงเข้าไป รู้สึกปลอดภัยอย่างน้อยก็เดินตามกำแพงไป ทุกคนเข้ามาอยู่ในห้องมืดที่ว่า น้องวิชเข้ามาเป็นคนสุดท้ายพร้อมกับขานรับเสียงเรียกของไกด์ดล

ไกด์ดล: โอเคครับ ทีนี้ผมจะแนะนำให้รู้จักกับไกด์ที่จะพาพวกเราผจญไปในโลกมืด ชื่ออาร์มนะครับ ผมจะขอส่งทุกคนต่อให้ไกด์อาร์ม ณ ที่นี้เลยนะครับ ขอให้สนุกกับประสบการณ์ในห้องมืดนะครับ สวัสดีครับทุกคน

ว่าแล้วไกด์ดลก็เดินจากไปแบบเงียบๆ

ไกด์อาร์มตบมือสองสามครั้งเพื่อเรียกความสนใจจากพวกเรา: สวัสดีครับทุกๆคน ผมชื่ออาร์มครับ ผมจะเป็นไกด์ของพวกเราทุกคนในตลอดเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนี้นะครับ ตอนนี้ขอให้พวกเราเดินเลียบกำแพงไปอีกนะครับ เราจะเจอกับอะไรครับ

ผมก็พาน้องยุ้นเดินนำไปตามเสียง ไม้เท้าที่วาดด้านหน้าก็เหมือนกับจะชนกับอะไรทางด้านขวา วาดได้ไม่สุด ไปได้แต่ทางซ้าย ก็เลยย่อตัวลงไปจับดู นุ่มๆ ราบโค้ง เย็นๆ ระดับประมาณเข่า คลำไปเรื่อยๆลึกเข้าไปก็เจอว่ามันสุดแล้วก็หักมุมขึ้นไปข้างบน รู้แล้ว โซฟา

พ่อ: เจอโซฟาครับ
ไกด์อาร์ม: โอเค มีคนเจอโซฟาแล้วครับ ให้นั่งที่โซฟาเลยครับ ขยับมานั่งกันให้ครบทุกคนนะครับ

ผมก็นั่งแล้วก็ขยับมาจนรู้สึกว่าสุดปลายโซฟาแล้ว ให้น้องยุ้นนั่งตัก น้องๆนักเรียน ก็นั่งตามมาทุกคน

ไกด์อาร์ม: น้องวิช นั่งแล้วยังครับ
น้องวิช: นั่งแล้วค่ะ
ไกด์อาร์ม: โอเคครับ ที่นี้เรามาแนะนำตัวเองกันให้ผมรู้จักชื่อกันหน่อยดีกว่า เรามีกันกี่คนครับ
น้องๆ:  7 คนค่ะ
ไกด์อาร์ม: ครับ ขอแนะนำคนแรกเลยครับ
พ่อ: จตุพร กับ น้องยุ้นครับ เป็นพ่อกับลูกครับ
ไกด์อาร์ม: น้องไรนะครับ น้องยุ่นเหรอครับ โอเค ผมเรียกคุณพ่อกับน้องยุ่นนะครับ คนต่อไปครับ
ไกด์อาร์มเหมือนกับเรียกชื่อน้องไม่ได้
น้องๆ: พลอยค่ะ จิ๊บค่ะ บีค่ะ พิมค่ะ วิชค่ะ
ไกด์อาร์ม: พลอย จิ๊บ บี พิม วิช โอเคครับ
ก่อนอื่น ผมขอแนะนำให้รู้จักกับ Dialogue in the Dark หน่อยนึงนะครับ มันคืออะไร มันก็คือนิทรรศการเชิงปฏิบัติ ที่เปิดโอกาสให้คนปกติมาเรียนรู้โลกของผู้พิการทางสายตา หลังจากทุกคนที่ผ่านประสบการณ์นี้ไป เราคาดหวังว่าทุกคนจะเข้าใจการใช้ชีวิตของผู้พิการทางสายตา ว่าเขาเหล่านั้นสามารถใช้ชีวิตอย่างไร มีความยากลำบากกว่าคนปกติทั่วไปอย่างไร เขาต้องปรับตัวอย่างไร Dialogue in the Dark มีขึ้นครั้งแรกในประเทศเยอรมัน ด้วยความริเริ่มโดยนาย Andreas Heinecke เมื่อเขาได้รับแนวความคิดที่จะให้คนเรียนรู้จากการพบเห็นด้วยตัวเอง ไม่เพียงแต่จากการบอกเล่าเท่านั้น หลังจากนั้นก็ได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก ไปมากกว่า 30 ประเทศ 160 แห่ง กระจายไปทั่วทวีปอเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง และ เอเชีย ที่นี่ก็เป็นแห่งหนึ่งและแห่งเดียวในประเทศไทย

ไกด์อาร์มได้เล่าเรื่องราวพอเป็นสังเขปให้กับพวกเรานักท่องเที่ยวในดินแดนผู้พิการทางสายตาฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

ไกด์อาร์ม: พวกเรารู้มั้ยครับว่าห้องนี้คือห้องอะไร
น้องพลอย: ห้องนั่งเล่น
น้องจิ๊บ: ห้องรับแขก
ไกด์อาร์ม: ครับ เก่งมาก ห้องแรกของบ้านที่ผมพามาก็ควรจะเป็นห้องรับแขกหรือห้องนั่งเล่น เราเพิ่งเดินเข้าบ้านของผู้พิการทางสายตามาสักครู่นี้เอง

ต่อจากนั้น ไกด์อาร์มก็บอกให้เราลุกขึ้น แล้วก็เดินตามเสียงไกด์ไปตามกำแพงอีกเช่นเดิม ชิดขวา ได้ยินเสียงนกร้องดังมาไกลๆ เดินต่อไปก็ได้ยินเสียงน้ำ ไกด์บอกให้เราสังเกตจากการฟัง คอยถามว่าได้ยินเสียงอะไรบ้าง รู้สึกยังไงกับพื้น นุ่ม ขรุขระ หรือ แข็ง เดินต่อไปผมรู้สึกว่ากำแพงหายไปแล้ว ตอนนี้เหมือนอยู่ในโลกมืดไปไม่ถูก จนกระทั่งได้ยินเสียงไกด์อาร์มปรบมือ

ไกด์อาร์ม: เดินต่อมาเรื่อยๆครับ มาตามเสียงของผม ไม่ทราบเจออะไรบ้างหรือเปล่าครับคุณพ่อ
น้องยุ่นเป็นไงครับ ไม่กลัวนะครับ เก่งจริงๆ

น้องเงียบ แต่ก็ไม่ได้ร้องโวยวายว่ากลัว เท่านี้ผมว่าเขาก็กล้ามากแล้วครับ
ผมเดินต่อไปพาน้องยุ้นนำไปด้วย มือผมกุมมือน้องซึ่งกุมไม้เท้าอีกที กวาดไปด้านหน้า รู้สึกเหมือนมีขั้นบันได

ไกด์อาร์ม: ข้างหน้าจะมีสเต๊ปนะครับ ให้ก้าวขึ้นมาเลยครับ ถ้าเจอแล้ว
คุณพ่อ: เจอครับ เจอขั้นบันได น้องยุ้น เห็นมั้ย ไม้มันไปตีกับของข้างหน้า แสดงว่ามีอะไรอยู่ จิ้มๆดูสิ มันสูงขึ้นจากที่เรายืนอยู่ด้วย ค่อยๆก้าวไปที่ไม้จิ้มอยู่เลยนะ

น้องยุ้นดูเหมือนรับรู้ได้ ก็ก้าวนำผมไป ผมก็เดินก้าวตาม ส่วนมือขวาก็ควานหาของบางอย่างถ้ามี เหมือนหาหลักประกัน อย่างไรก็ยังไม่พร้อมที่จะเดินโดยไม่มีกำแพง น้องๆนักเรียนก็เดินเบียดๆตามกันมา พร้อมส่งเสียงไปตลอดทาง ถามว่าเจอไรบ้าง ชั้นเจอนี่ แกเจอเปล่า คุณพ่อเจอไรบ้างคะ ฯลฯ

ในที่สุดก็ผมก็เจอ ......... หลังจากควานหาอยู่ซักพัก เท้าก็รู้สึก ตัวก็โยกไปมาเล็กน้อย


*****************************************************************************
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Dialogue in the Dark - ใช้ชีวิตคนตาบอด ตอนที่ 1

(Follow English version at http://jchinrungrueng.blogspot.com/2010/12/dialogue-in-dark-experiment-with-life.html)

วันอาทิตย์นี้ผมบอกกับลูกๆผมว่าจะพาไปดูหนังวิทยาศาสตร์ที่ องค์การพัฒนาวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช) ตึกจามจุรีสแควร์ เนื่องจากเป็นเทศกาลภาพยนต์วิทยาศาสตร์ครับ แต่สิ่งที่จะเล่าในวันนี้ไม่ใช่หนังวิทยาศาสตร์ แต่เป็น Diaglogue in the Dark

มันคืออะไรเหรอ บางคนอาจจะงง แต่บางคนคงเคยได้ยินมาบ้างแล้ว ที่ อพวช ตึกจามจุรีชั้น 4 ติดกับศูนย์หนังสือจุฬา ได้จัดนิทรรศการด้านวิทยาศาสตร์ มีการสาธิตแสดงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ให้เด็กๆได้เล่น ได้ทดลองค้นคว้า ผมเคยพาเด็กๆไปเที่ยวมาครั้งหนึ่งก็ติดใจ และวันนี้ก็ได้พาไปอีกเนื่องจากเทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ดังกล่าวข้างต้น หลังจากดูภาพยนตร์ไปเรื่อง สองเรื่อง ยุ้น ลูกสาวผมก็เห็นป้ายประชาสัมพันธ์ Diaglog in the Dark เป็นรูปสัญลักษณ์คนตาบอดสองคนจูงมือกันเดิน ก็เกิดความสนใจอยากเข้า ก็เลยเข้าไปสอบถามดูว่าเป็นอะไร

คุณพ่อ: "ขอโทษครับ Dialogue in the Dark คืออะไรครับ"
พี่ๆเจ้าหน้าที่: "อ๋อ มันคือห้องมืดค่ะ ให้คนตาดีได้ลองใช้ชีวิตเป็นคนตาบอด ว่าเขาใช้ชีวิตอย่างไรค่ะ"
คุณพ่อ: "เด็กเข้าได้มั้ยครับ"
พี่ๆเจ้าหน้าที่: "น้องกลัวความมืดมั้ยคะ ถ้าไม่กลัวก็เข้าได้ค่ะ"
ผมเลยหันไปถามเจ้าลูกสาวว่ากลัวมั้ย ก็รู้คำตอบละครับ แน่นอน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเขา
แล้วเขาก็หันไปชวนพี่ชายต่อด้วย

ยุ้น:  "เข่ง ไปเล่นห้องมืดด้วยกันมั้ย"
เข่ง: "ไม่อาวววว เค้ากลัวหลง เดี๋ยวหลง มองไม่เห็น"
ยุ้น: "ไม่หลงหรอก ไปด้วยกัน ไปกับป๊ากับแม่ เค้าเกาะป๊า เข่งก็เกาะแม่สิ"
เข่ง: "ไม่อาวววว มันมืดมองไม่เห็น เดี๋ยวหลง"

กระต่ายขาเดียวเลยครับเจ้าลูกชาย ยังไงก็ไม่ยอม แม้ว่าแม่จะบอกว่าไปกับแม่ ก็เลยให้ไปรอที่ห้องฉายหนังดูหนังวิทยาศาสตร์ไปพลางๆ

เสร็จแล้วก็เลยซื้อตั๋วเข้า Dialogue in the Dark กันสองคนพ่อลูก เสร็จถึงเวลาก็ไปรอที่หน้าห้อง ตอนนี้เจ้าลูกสาวเริ่มเงียบ คงจะเริ่มกลัว เนื่องจากพี่ๆก็ไม่ค่อยยอมเผยอะไรให้ฟังว่าข้างในมีอะไรบ้าง บอกแต่ว่าไม่อันตราย สนุกค่ะ คงกลัวรู้แล้วหมดสนุกมั้งครับ พี่ไกด์ที่หน้าห้องเห็นว่าคงจะกลัว ก็เลยเข้ามาชวนคุย

พี่ไกด์: กลัวความมืดมั้ย
ยุ้น: ส่ายหน้า แต่มีสีหน้ากังวล
พี่ไกด์: ไม่ต้องกลัวนะ ลองไปดูกับพี่นิดนึงมั้ย มามะ พี่พาเข้าไปลองหน้าทางเข้านิดนึง
คุณพ่อ: ไปสิ ลองไปดูว่ากลัวมั้ย ไปกับพี่ไม่เป็นไร แล้วกลับมาหาป๊า

ว่าแล้วก็เลยจูงมือกันเข้าไปสองคน เจ้าลูกสาวก็ค่อยๆย่องหายเข้าไป ชั่วอึดใจหนึ่งสองคนก็โผล่กลับมา เจ้ายุ้นก็วิ่งกลับมาหาผม ผมถามว่าเป็นไง
ยุ้น: มืด มองไรไม่เห็นเลย
พ่อ: แล้วกลัวมั้ย
ยุ้น: ไม่กลัว แต่ยุ้นจะจับมือป๊า ป๊าอย่าปล่อยหนูนะ
อืมม ไม่กลัวเลยจริงๆ ฮ่าๆ นึกในใจนะครับ

พี่ไกด์: เดี๋ยวรอกลุ่มสักพักนะครับ จะมีมาอีกประมาณ 5-6 คนครับ

สักพักหนึ่ง ก็มีเด็กหญิง 5 คน จริงๆไม่เด็กแล้วหละ แต่เทียบกับอายุผม ก็คงเด็กแหละนะ อ้าวชักงงหละสิ ตกลงเด็กไม่เด็กเนี่ย เอาเป็นอย่างนี้ดีกว่า มีเด็กสาววัยมัธยมอายุประมาณ 14-16 ปี เดินขึ้นมา พี่เจ้าหน้าที่ก็เข้าไปต้อนรับ แล้วก็บอกว่าขอตรวจตั๋วด้วยครับ หลังจากนั้นก็แนะนำตัวเอง และอธิบายขั้นตอนวิธีปฎิบัติตัวก่อนขึ้นเขียง เอ้ย ก่อนเข้าห้องมืด

พี่ไกด์: สวัสดีครับ ผมชื่อดล เป็นเจ้าหน้าที่ต้อนรับทุกท่าน จะมาชี้แจงวิธีการปฏิบัติตัวก่อนเข้าห้องมืดครับ ห้องนีจะเป็นห้องที่มืดสนิท แสงไม่รอดเข้ามาแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้น เราจะมีห้องให้ฝากของด้วยครับ ถ้าคิดว่าเราอาจจะทำของตกหาย ก็ฝากไว้ได้เลยครับ โดยเฉพาะของที่สามารถส่องแสงได้ เช่น โทรศัพท์มือถือ นาฬิกาเรืองแสง คุณพ่อ ฝากแว่นไว้ด้วยนะครับ เดี๋ยวสะดุดแว่นตกแล้วคนเหยียบแตกครับ
พ่อ: อ้าว แล้วผมจะมองยังไงหละครับ
พี่ไกด์: อ๋อ ห้องมืดคุณพ่อไม่ต้องใช้แว่นอยู่แล้ว

เพล้งงงงงง หน้าแตกเลย ด้วยความลืมตัว จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปที่ล็อกเกอร์เก็บของ

พี่ไกด์: ผมจะพาเข้าไปเป็นแถวเรียงหนึ่งนะครับ ใครจะมาเป็นคนแรกครับ
เงียบ
พี่ไกด์: อ่า อาจจะไม่ได้ยิน เอาอีกครั้ง ผมจะพาเข้าไปเป็นแถวเรียงหนึ่งนะครับ อยากให้จัดแถวกันตอนนี้ ไม่ทราบว่าใครอาสาเข้าเป็นคนแรกครับ

ฟังเสียงพี่ไกด์แกพูดแล้วไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าอยากจะเข้าเผชิญชตากรรมคนตาบอดเป็นคนแรกเลย ทุกคนนิ่ง ผมก็เลยจูงมือลูกสาว ทำใจกล้าเดินอาสาออกไป
พี่ไกด์: อ่า ได้แล้วคนแรก ต่อไปจัดแถวต่อเลยครับ
คราวนี้ง่ายแล้วน้องๆนักเรียน ทั้ง 5 คนก็จัดแถวเรียงหนึ่งต่อจากผมและยุ้น ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว แก ค่อยๆเดินนะแก รอชั้นด้วยหละ มีอะไรบอกด้วยนะแก เจออะไรก็บอกด้วย

พี่ไกด์: ครับ เรียบร้อย ที่นี้เงียบนิดนึงครับ ผมจะอธิบายเกี่ยวกับข้างในก่อนเราจะเข้าไปกันนะครับ ข้างในจะเป็นห้องมืด ดังนั้นทุกคนจะมองอะไรไม่เห็น เราจะลองใช้ชีวิตแบบคนพิการทางสายตา กันประมาณ 1 ชั่วโมง เราจะใช้สัมผัสทุกอย่างในตัวเรา ยกเว้นสายตา เราจะใช้มือ ใช้เท้า ใช้ผิวหนัง ใช้จมูก ใช้หู ใช้ปาก ในนั้นจะมีห้องอยู่หลายห้องเพื่อให้เราฝึกการใช้สัมผัสที่ผมว่ามานะครับ ครบทุกอย่างไม่ต้องห่วง จากนี้ผมจะพาพวกเราไปส่งมอบต่อให้กับไกด์ผู้เชี่ยวชาญด้านความมืดภายในนะครับ ตอนนี้ผมจะแจกไม้เท้าให้ทุกคน ขอให้ทุกคนรับไปแล้วลองใช้ดูนะครับ เราจะใช้ไม้เท้าวาดเป็นวงด้านหน้าเราในระดับเดียวกับพื้น ให้ไม้เท้าทำมุมประมาณ 30-45 องศานะครับ เราจะไม่ยกไม้เท้าสูงนะครับ เพราะจะไปตีถูกคนข้างหน้า หรือว่าจะไปแทงถูกคนข้างหน้าได้ ถ้าไม้เท้าที่เราวาดด้านหน้าไปกระทบกับอะไรเข้า เราก็จะใช้วิธีเดินเข้าไปใกล้แล้วใช้มืออีกมือคลำเอาเพื่อจะได้รู้ว่ามันคืออะไร

ถ้าเราทำของตกนะครับ เราจะไม่ก้มลงเก็บ แต่เราจะย่อตัวลงไป โดยที่มือยังคงถือไม้เท้าอยู่โดยให้ไม้เท้าทิ่มลงกับพื้นตั้งตรงนะครับ ไม่วางไม้เท้า ไม่แทงไม้เท้าไปที่ใดๆทั้งสิ้น ทำไมเราต้องย่อลงเก็บของ ไม่ก้มลงเก็บทราบมั้ยครับ

น้องๆ : อาจจะถูกเหยียบจากคนข้างหลังได้ค่ะ
พี่ไกด์: ไม่ใช่ครับ ถูกเหยียบไม่ว่าก้มหรือย่อก็ถูกเหยียบได้ครับ แต่ที่เราย่อตัวเก็บเพราะเวลาลุกขึ้นมาเราจะลุกในแนวตั้ง เราก็มั่นใจว่าเราไม่ลุกขึ้นมาชนของอะไรด้านหน้าได้หากเราก้มลงเก็บ เมื่อย่อแล้วเราก็จะใช้มือเรากวาดไปกับพื้นเพื่อหาของนะครับ

วิธีการที่จะไม่ให้ถูกเหยียบคือ เราจะใช้ปากให้เป็นประโยชน์ครับ เราต้องส่งเสียงตลอดเวลา แต่ไม่ใช่แย่งกันพูดนะครับ เดี๋ยวไม่รู้เรื่อง หากมีอะไรเกิดขึ้น ช่วยกันบอกนะครับ ไกด์ข้างในจะถามชื่อทุกคน แล้วจะรอให้ทุกคนไปกันแบบเรียงแถวตามที่ตั้งไว้นี้ หากไกด์ข้างในขานชื่อ ก็ให้ตอบนะครับ ไม่งั้นจะไม่รู้ว่าอยู่ครบทุกคนหรือหายไปไหนหรือเปล่า

ข้อสำคัญที่สุดและห้ามไม่ปฏิบัติตามเลยคือ หากเจอห้องอะไรหรือลูกบิดประตูห้ามเปิดเข้าไปนะครับ ถ้าหากไกด์ข้างในไม่ได้สั่งให้เข้า เพราะอาจจะหลงเข้าไปแล้วไม่สามารถออกมาได้นะครับ

อีกอย่างขอให้เตรียมเงินไว้ล่วงหน้า เพราะว่าจะมีห้องขายเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว ให้ลองได้ใช้ชีวิตดูว่าผู้พิการทางสายตาซื้อของยังไง ไม่เกินร้อยบาทครับ ยี่สิบบาทก็ได้ เตรียมไว้ล่วงหน้าเลยจะได้ไม่ต้องคว้ากระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วหยิบแบ้งค์ซึ่งไม่รู้ว่าแบ้งค์อะไรอีก เราจะได้รู้ว่าคนพิการเขาขายของกันอย่างไร เขารู้ได้ไงว่าเราให้แบงค์อะไร

หากพร้อมแล้ว และไม่มีคำถามอะไรอีก เราก็จะเข้าผจญกับความมืดแล้วนะครับ

พ่อ: ขอโทษครับ มีคำถามครับ ไม่ทราบว่าไกด์ด้านในเป็นผู้พิการทางสายตาหรือเปล่าครับ
ไกด์: เชิญคุณพ่อเข้าไปสอบถามพูดคุยกันกับไกด์ด้านในเลยครับ สามารถคุยได้ครับ ไกด์ของเราเปิดเผยหมดทุกเรื่องราวที่ทุกคนอยากรู้ ไม่ทราบมีคำถามอะไรอีกมั้ยครับ

เว้นระยะซักหน่อย

ไกด์: หากไม่มีคำถามแล้ว เชิญเดินตามผมเข้ามาเลยครับ

ชีวิตคนตาบอดสำหรับคนตาดีกำลังจะเริ่ม ณ อีกไม่กีย่างก้าวแล้ว

***************************************************
(โปรดติดตามตอนต่อไป....)